กระทรวงเศรษฐการ วันที่ 3 มิ.ย. 68
เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 กระทรวงเศรษฐการไต้หวัน (Ministry of Economic Affairs, MOEA) ได้จัดงานแถลงข่าว “การประกาศมอบรางวัล Edison Awards ประจำปี 2568” โดย MOEA ได้ประกาศว่า ในปีนี้ไต้หวันสามารถคว้า 18 รางวัลมาครอง จากผลงานนวัตกรรมที่ส่งเข้าร่วมคัดเลือกจากทั่วโลก ในจำนวน 400 รายการ ทุบสถิติรางวัลสูงสุดที่ไต้หวันเคยได้รับมาเป็นประวัติการณ์ และจากจำนวนรางวัลที่ได้ ส่งผลให้ไต้หวันก้าวขึ้นครองอันดับ 2 ของโลก เนื่องจากรางวัล Edison Awards เทียบเท่าได้กับรางวัลออสการ์ในวงการนวัตกรรม จึงถือเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของผู้ประกอบการในแวดวงที่เกี่ยวข้อง นายหวงเหรินซวิน ผู้ก่อตั้ง NVIDIA ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับรางวัลประจำปีนี้ ประกอบกับหน่วยงานต่างๆ ภายใต้สังกัดกระทรวงเศรษฐการ ต่างก็ประสบความสำเร็จในการกวาดรางวัลมาครองทั้งสิ้น รวม 14 รายการ รายชื่อหน่วยงานดังกล่าว ประกอบด้วย ศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมโลหะ (MIRDC) สถาบันวิจัยสิ่งทอไต้หวัน (TTRI) ศูนย์วิจัยและทดสอบยานยนต์ (ARTC) และศูนย์วิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมทางทะเลและการต่อเรือ (SOIC) โดยผลงานนวัตกรรมเทคโนโลยีเหล่านี้ ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ แล้ว ซึ่งได้ประสานความร่วมมือกับผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ อาทิ บริษัทผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ Taiwan Mask Corporation , โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTUH) , บริษัทขนส่งมวลชน Zhongxing Bus Company , บริษัทการประปาไต้หวัน (Taiwan Water Corporation) และบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาและเครื่องแต่งกายสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง Arc'teryx จากสัญชาติแคนาดา
นายกัวจื้อฮุย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ กล่าวว่า ผลงานวิจัยและพัฒนา ภายใต้การสนับสนุนของ MOEA สามารถคว้ารางวัล Edison Awards มาครองได้เป็นจำนวนรวม 14 รายการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 3 เหรียญทองแดง โดยหน่วยงานนิติบุคคลที่ร่วมสร้างผลสัมฤทธิ์ในครั้งนี้ มีจำนวนกว่า 5 ราย ถืเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในจำนวนนี้ จำนวนรางวัลที่ ITRI ได้รับ ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 2 ส่วน MIRDC อยู่ในอันดับ 5 และเป็นครั้งแรกที่ ARDC และ SOIC สามารถคว้ารางวัลมาครองได้สำเร็จ
รมว.กัวฯ คาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะเห็นนวัตกรรมเทคโนโลยีสอดรับกับความต้องการของตลาด และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ ผลงานที่ได้รับรางวัลนอกจากจะได้รับการนำไปประยุกต์ใช้โดยผู้ประกอบการแล้ว ยังเป็นการแก้ไขปัญหาจุดอ่อนของอุตสาหกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะผลงานทั้ง 14 รายการนี้ ล้วนแต่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI เข้าเป็นองค์ประกอบสำคัญ แสดงให้เห็นถึงการอาศัยปัจจัย AI ในการขับเคลื่อนผลสัมฤทธิ์ของภาคอุตสาหกรรมทุกแขนง นอกจากนี้ รมว.กัวฯ ยังระบุอีกว่า นวัตกรรมเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีที่สำคัญในยุคสมัยใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เร่งก้าวทันกระแสการประยุกต์ใช้ AI ผ่านศักยภาพของหน่วยงานนิติบุคคล MOEA จึงได้จัดรวบรวมอุปกรณ์เครื่องมือที่ดีที่สุด และฐานทดลอง 10 แห่งเพื่อไว้รองรับการทดลองผลิตในรูปแบบ AI ที่ครอบคลุมรวม 16 ประเภทอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการบ่มเพาะบุคลากรที่สอดรับต่อความต้องการทางภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม ให้พัฒนาไปสู่อีกขั้น
ในปีนี้ ITRI สามารถคว้า 3 เหรียญทอง 3 เหรียญเงินและ 1 เหรียญทองแดงมาครองได้สำเร็จ ผลงานที่ได้รับเหรียญทอง อย่าง “Smart Aqua Leak Finder” หรือระบบตรวจจับน้ำรั่วซึมในรูปแบบอัจฉริยะ สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อวิกฤตการขาดแคลนทรัพยากรน้ำ ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ สามารถตรวจจับตำแหน่งของการรั่วซึมได้อย่างแม่นยำ สูงถึง 98% ผ่านการวิเคราะห์คลื่นเสียงสั่นสะเทือนในชั้นใต้ดิน เพื่อประมวลผลข้อมูลสัญญาณเสียงแบบเรียลไทม์ ซึ่งขณะนี้ ได้ทำการประสานความร่วมมือกับบริษัทประปาไต้หวันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และประสบความสำเร็จในการตรวจจับรอยรั่วได้จำนวนทั้งสิ้น 834 จุด ช่วยให้ประหยัดน้ำได้กว่า 10.94 ล้านตันต่อปี ซึ่งจะสามารถรุกขยายไปสู่พื้นที่ที่ประสบวิกฤตการขาดแคลนน้ำทั่วโลกได้ โดยเฉพาะพื้นที่เมืองประวัติศาสตร์ในทวีปยุโรป โดยจะสามารถช่วยตรวจสอบรอยรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างโบราณสถาน
ในแต่ละปี ทั่วโลกมีปริมาณขยะกระจก LCD นับแสนตัน และน้ำเสียที่ปนเปื้อนโลหะหนักกว่าแสนล้านตัน ซึ่งวิธีการจัดการแบบดั้งเดิมคือการฝังกลบและการนำกลับไปประยุกต์ใช้ในมาตรฐานขั้นต่ำ อันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร และก่อเกิดเป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม “NapoGlass” อีกหนึ่งผลงานที่ได้รับเหรียญทอง เป็นตัวช่วยที่เข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาขยะและปฏิกูลทั้ง 2 ประการข้างต้น ด้วยวัสดุนาโนโลหะประสิทธิภาพสูงที่พัฒนามาจากเทคโนโลยีนาโนที่มีคุณสมบัติรูพรุน เพื่อช่วยในการบริหารจัดการบำบัดน้ำเสียที่ปนเปื้อนโลหะ โดยที่ชิ้นส่วนวัสดุโลหะสามารถนำกลับมาประยุกต์ใช้ใหม่ จึงไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ ส่วนทรัพยากรน้ำก็สามารถนำกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์ โดยจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ำได้กว่าร้อยละ 50 – 90% ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในภาคอุตสาหกรรม อย่างเซมิคอนดักเตอร์และการชุบโลหะด้วยไฟฟ้า เพื่อช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียว
“Dual-Phase Hydrogel Therapy” อีกหนึ่งผลงานเหรียญทอง เป็นวัสดุชีวภาพทางการแพทย์ที่คิดค้นขึ้นในรูปแบบนวัตกรรม มีคุณสมบัติความเข้ากันได้ทางชีวภาพสูงและสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ ด้วยเนื้อสัมผัสที่เป็นของเหลวและเก็บรักษาไว้ในอุณหภูมิต่ำ จึงทำให้สามารถแข็งตัวเป็นลักษณะเจลได้ทันทีที่เข้าสู่ร่างกาย และสามารถปิดสนิทแนบชิดกับเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ เสริมสร้างเป็นเกราะป้องกันในรูปแบบโปร่งแสง และสามารถทิ้งไว้ได้นานถึง 30 วัน ซึ่งในปัจจุบัน ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในการทดลองรักษาเชิงคลินิกของโรคหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท และโรคข้อเสื่อม และได้รับการจดสิทธิบัตรทั้งในไต้หวัน สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศในยุโรปแล้ว ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะได้รับการพัฒนาไปสู่ตลาดทันตกรรมและแผนกศัลยกรรมต่อไป
MIRDC ได้รับ 1 เหรียญทอง 2 เหรียญเงินและ 1 เหรียญทองแดง ผลงานที่ได้รับเหรียญทอง ได้แก่ “3D MAGVIS-NAV ICH System” ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเอนโดสโคปที่ระบุตำแหน่งด้วยแม่เหล็ก รูปแบบ 3 มิติ ในการส่งมอบการมองเห็นแบบทะลุทะลวงในหลายมิติ เสมือนกับเป็น “GPS ภายในอุโมงค์” ที่สามารถส่องกล้องในกะโหลกศีรษะได้อย่างชัดเจน และสามารถทำการรักษาภาวะเลือดออกในสมองได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว ตลอดจนเป็นการหลีกเลี่ยงมิให้เกิดภาวะความเสี่ยงเลือดออกมาก ในระหว่างการผ่าตัดเจาะช่องกะโหลก และสามารถลดการได้รับรังสีระหว่างผ่าตัดได้ถึง 80% ซึ่งผลลัพธ์ของการทดลองใช้กล้องเอนโดสโคปมัลติฟังก์ชัน บ่งชี้ให้เห็นแล้วว่า อัตราการเสียชีวิตสามารถลดลงเหลือ 5% จากเดิม 25% ในปัจจุบัน ได้ทำการประสานความร่วมมือกับบริษัท Clearmind Biomedical Inc. และแผนกประสาทศัลยศาสตร์ของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก สาขานครเกาสง โดยในอนาคต จะผลักดันนำไปใช้ในการรักษาเชิงคลินิก เพื่อยกระดับความปลอดภัยและเพิ่มอัตราความสำเร็จในการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
ส่วน TTRI สามารถคว้าเหรียญทองมาครอง ด้วยผลงาน “AI Vision Fabric Inspection Machine” เพื่อแก้ไขปัญหาการตรวจสอบวัสดุผ้า ด้วยตาเปล่าของมนุษย์ ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดจากผลของความเหนื่อยล้า ด้วยการผสมผสานระหว่างกระบวนการอัลกอริทึ่มด้วยเทคโนโลยี AI และเทคโนโลยีออปติคัลที่มีความละเอียดคมชัดสูง ในการตรวจสอบคุณภาพวัสดุผ้าด้วยความรวดเร็ว อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยคุณสมบัติที่สามารถพัฒนาเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจดจำรูปภาพตัวอย่างที่แสดงถึงข้อบกพร่องของสินค้า ซึ่งสามารถตรวจจับข้อบกพร่องได้แม่นยำสูงถึง 95% ในปัจจุบัน TTRI ได้ประสานความร่วมมือกับ บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาและเครื่องแต่งกายสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง Arc'teryx จากสัญชาติแคนาดา และบริษัท EVERTEX FABRINOLOGY LTD. ของไต้หวัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อยกระดับศักยภาพทางการแข่งขันของอุตสาหกรรมสิ่งทอของไต้หวัน ให้ก้าวสู่ระดับสากล